เสียงกระซิบจากห้อง 404: เรื่องเล่าขนหัวลุกที่คนโรงแรมไม่อยากให้คุณรู้
เสียงกระซิบจากห้อง 404: เรื่องเล่าขนหัวลุกที่คนโรงแรมไม่อยากให้คุณรู้
เคยรู้สึกไหมครับว่าเวลาเดินไปตามโถงทางเดินยาวๆ ของโรงแรมเก่าๆ ตอนกลางดึก… แสงไฟสลัวๆ ที่กะพริบเป็นบางจังหวะ กับความเงียบที่หนักอึ้งจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง มันมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นวนเวียนอยู่รอบตัวเรา
ผม ‘ชาติ’ เองครับ และในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับวงการนี้มาทั้งชีวิต ผมขอยืนยันว่าทุกโรงแรม… ไม่ว่าจะหรูหราแค่ไหน ล้วนมีเรื่องราวซ่อนอยู่ และเรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้ คือเรื่องที่พนักงานกะดึกมักจะกระซิบกระซาบกัน หลังจากที่แขกคนสุดท้ายหลับใหลไปแล้ว
มันเป็นเรื่องของ “ห้อง 404” ในโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ
ห้องนี้ไม่ได้ถูกปิดตาย แต่มัน “ไม่เคยว่าง” ให้ใครจองได้นาน พนักงาน Reservation จะถูกสอนมาเสมอว่าถ้ามีคนขอห้องนี้ ให้บอกว่า “เต็ม” หรือ “อยู่ระหว่างปรับปรุง” เสมอ ทำไมน่ะหรือครับ?
เรื่องมันเริ่มจาก ‘พี่สมศรี’ หัวหน้าแม่บ้านที่ทำงานที่นี่มาตั้งแต่โรงแรมเปิด พี่ศรีเล่าว่าสมัยก่อนห้องนี้เป็นห้องโปรดของ ‘คุณหญิง’ ท่านหนึ่งที่มาพักเป็นประจำ แต่แล้วคืนหนึ่งก็เกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้น คุณหญิงเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวบนเก้าอี้โยกริมหน้าต่างตัวนั้น… ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา “ความแปลก” ก็เริ่มต้นขึ้น
พนักงานที่เข้าไปทำความสะอาดห้องนี้ตอนไม่มีแขก มักจะเจอเก้าอี้โยกตัวนั้นขยับเอง… ช้าๆ… เอี๊ยด… อ๊าด… ทั้งๆ ที่ไม่มีลมแม้แต่น้อย บางคนได้กลิ่นน้ำอบไทยจางๆ ลอยมาปะทะจมูก ทั้งที่โรงแรมไม่เคยใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือเสียงกระซิบที่แผ่วเบาข้างใบหู ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ในห้องคนเดียว!
เคยมีพนักงานใหม่ที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แอบเข้าไปงีบในห้องนั้นตอนพักเบรก เขาเล่าทั้งน้ำตาว่ารู้สึกเหมือนมีมือเย็นเฉียบมาลูบที่ต้นคอเบาๆ แล้วมี
…เขาเล่าทั้งน้ำตาว่ารู้สึกเหมือนมีมือเย็นเฉียบมาลูบที่ต้นคอเบาๆ แล้วตามด้วยเสียงกระซิบที่แผ่วเบาราวกับลมหายใจข้างใบหู เป็นคำถามสั้นๆ ที่ฟังดูโหยหวนจับใจว่า… “ไหนล่ะ?”
เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่เต้นรัว เหงื่อท่วมตัว ห้องทั้งห้องว่างเปล่า เก้าอี้โยกหยุดนิ่ง แต่กลิ่นน้ำอบไทยกลับคลุ้งตลบอบอวลจนแทบหายใจไม่ออก เขาวิ่งออกจากห้องนั้นและไม่เคยกลับเข้าไปอีกเลย
แต่เหตุการณ์ที่พีคที่สุด เกิดขึ้นเมื่อมีแขกชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เข้าพักในห้อง 404 ด้วยความผิดพลาดของระบบการจอง เขาเป็นนักธุรกิจที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางและมองว่ามันเป็นเรื่องงมงาย คืนแรก เขาโทรลงมาบ่นที่ฟร้อนท์ว่ามี “เสียงเด็กวิ่งเล่นอยู่หน้าห้อง” ทั้งๆ ที่ชั้นนั้นไม่มีเด็กพักอยู่เลย คืนที่สอง เขาโทรลงมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดกว่าเดิม บอกว่าโทรทัศน์ในห้องเปิดเองตลอดเวลา และจะเปิดไปที่ช่องหนังไทยขาวดำเก่าๆ เสมอ
คืนที่สามคือฟางเส้นสุดท้าย…
ตอนตีสามเป๊ะๆ เขากดโทรศัพท์ลงมาที่ฟร้อนท์ เสียงของเขาสั่นเครือและแผ่วเบา “มีคน… อยู่ในห้องผม” เขาพูดเสียงกระซิบ “มีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกริมหน้าต่าง… ผมเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ ตัดกับแสงจันทร์… เธอ… เธอกำลังฮัมเพลง”
ผู้จัดการกะดึกและรปภ.รีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นนั้นทันที โถงทางเดินเงียบสนิท พวกเขาใช้มาสเตอร์คีย์ไขเข้าไปในห้อง 404…
ห้องทั้งห้องว่างเปล่า โทรทัศน์ปิดสนิท แต่เก้าอี้โยกริมหน้าต่างตัวนั้น… กำลังแกว่งไกวไปมาอย่างช้าๆ… เอี๊ยด… อ๊าด… ราวกับว่ามีใครบางคนเพิ่งจะลุกออกไป และบนเตียงนอนที่ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย มีเสื้อนอนของแขกถูกพับวางไว้ บนนั้น… มีเส้นผมยาวสีเงินขาวหนึ่งเส้นวางอยู่
แขกคนนั้นเช็คเอาท์ออกไปก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ทิ้งข้าวของส่วนใหญ่ไว้ข้างหลัง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ห้อง 404 ก็ถูกขึ้นป้ายว่า “ห้องชำรุด” อย่างถาวร แต่พนักงานทำความสะอาดที่ต้องเดินผ่านห้องนั้นในยามดึก มักจะสาบานว่าพวกเขายังได้ยินเสียงเก้าอี้โยกดังลั่นมาจากข้างใน… และเสียงฮัมเพลงกล่อมเด็กที่เศร้าสร้อย… ไม่มีวันจบสิ้น
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณเช็คอินเข้าโรงแรมเก่าๆ แล้วพบว่าเลขห้องมันข้ามจาก 403 ไป 405 เลย… บางที… การไม่ถามถึงเหตุผลอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะประตูบางบาน… ก็ไม่ควรถูกเปิดออก