“ประตูที่เปิดเองไม่ได้: ตำนานห้อง 709 และ ‘แขก’ ที่ไม่เคยเช็คเอาท์”
“ประตูที่เปิดเองไม่ได้: ตำนานห้อง 709 และ ‘แขก’ ที่ไม่เคยเช็คเอาท์”
ในวงการโรงแรมของเรา มีเรื่องเล่ามากมายที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในคู่มือพนักงาน เรื่องราวที่ถูกกระซิบเล่าต่อกันในมุมอับของห้องอาหารพนักงาน หรือในความเงียบสงัดของกะดึก เรื่องราวเหล่านี้คือ “กฎที่มองไม่เห็น” ซึ่งพวกเราต่างรู้ดีและให้ความเคารพยำเกรงยิ่งกว่ากฎใดๆ ของฝ่ายบริหาร
และหนึ่งในตำนานที่โด่งดังที่สุด ก็คือเรื่องราวของ “ห้อง 709”
ผม, เชิด เตมียชาติ, ขอพาทุกท่านย้อนกลับไปยังโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ โรงแรมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายทศวรรษ และแน่นอนว่า… มันได้เก็บงำความลับบางอย่างไว้ในโครงสร้างของมัน
ห้อง 709 ไม่ใช่ห้องสวีท ไม่ได้มีวิวที่สวยที่สุด และไม่ได้มีขนาดใหญ่โตกว่าห้องอื่น แต่สิ่งที่ทำให้ห้องนี้พิเศษ คือกฎเหล็กข้อแรกที่พนักงานใหม่ทุกคนต้องท่องจำให้ขึ้นใจ: “ห้ามปิดประตูห้อง 709 สนิทเด็ดขาด”
แม่บ้านที่เข้าไปทำความสะอาด จะต้องใช้ลิ่มไม้เล็กๆ ขัดบานประตูไว้เสมอ พนักงาน Room Service ที่นำอาหารไปส่ง (ซึ่งแทบไม่เคยมี) ก็ต้องเปิดประตูทิ้งไว้ขณะให้บริการ หรือแม้แต่ฝ่ายช่างที่เข้าไปซ่อมบำรุง ก็ต้องมีคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูเสมอ
เหตุผลน่ะหรือครับ? เพราะถ้าประตูห้อง 709 ถูกปิดสนิท… บางครั้งมันจะเปิดเองไม่ได้
ไม่ใช่เพราะกลอนเสีย หรือวงกบมีปัญหา แต่เพราะมันจะหนักอึ้งราวกับมีใครบางคน… หรือ “บางสิ่ง” กำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดดันประตูจากด้านในไว้
เรื่องเล่าที่เก่าแก่ที่สุด มาจากแม่บ้านรุ่นคุณป้าท่านหนึ่งที่ทำงานมาตั้งแต่โรงแรมเปิดใหม่ๆ วันหนึ่งเธอเผลอปล่อยให้ประตูปิดสนิทขณะทำความสะอาด และเมื่อจะเปิดออกมา เธอก็พบว่าลูกบิดขยับไม่ได้เลย เธอพยายามอยู่นานจนเหงื่อท่วมตัว ก่อนจะได้ยินเสียงเปียโนเก่าในห้อง… บรรเลงเพลงเศร้าสร้อยขึ้นมาเองอย่างแผ่วเบา ทั้งๆ ที่ห้องนั้นไม่มีแขกเข้าพักมานานนับเดือน คุณป้าถึงกับทรุดลงตรงนั้น และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่เคยกล้าเข้าใกล้ห้อง 709 อีกเลย
ตำนานเล่าว่า ห้อง 709 เคยเป็นห้องพักประจำของนักเปียโนหญิงท่านหนึ่งในสมัยก่อน เธอรักห้องนี้มาก และมักจะใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนบรรเลงเพลงอยู่ในห้อง จนกระทั่งวันหนึ่ง… เธอก็จากไปอย่างสงบในห้องนั้นเอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็มีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ แขกที่เข้าพักมักจะร้องเรียนเรื่องเสียงเปียโนตอนดึก, ไฟในห้องที่กระพริบเป็นจังหวะเพลง หรือบางครั้งก็เห็นเงาของผู้หญิงผมยาวนั่งอยู่ที่ปลายเตียง
จนกระทั่งผู้บริหารในยุคนั้นตัดสินใจที่จะ “ปิดการขาย” ห้อง 709 อย่างถาวร แต่ไม่ได้ปิดตาย มันยังคงถูกทำความสะอาดทุกวัน มีการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เติมน้ำดื่ม และจัดดอกไม้สดใหม่… ราวกับว่า “เจ้าของห้อง” ยังคงพักอยู่ที่นั่น
และในทุกวันครบรอบการจากไปของเธอ ผู้จัดการโรงแรมจะต้องนำช่อดอกลิลลี่สีขาวและไวน์แดงหนึ่งขวด ไปวางไว้ที่หน้าห้อง พร้อมกับกล่าวคำขออนุญาตเบาๆ เพื่อให้ “ท่าน” ช่วยคุ้มครองให้โรงแรมสงบสุขต่อไป
นี่ไม่ใช่เรื่องงมงายครับ แต่มันคือ “ความเคารพ” ต่อเรื่องราวและพลังงานที่สถิตอยู่ในสถานที่นั้นๆ เราในฐานะคนโรงแรม ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้บริการ แต่เรายังเป็น “ผู้ดูแล” บ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ
ดังนั้น หากคุณมีโอกาสได้เดินผ่านไปตามโถงทางเดินของโรงแรมเก่าแก่สักแห่ง แล้วบังเอิญเห็นประตูห้องห้องหนึ่งแง้มอยู่เสมอ… อย่าได้แปลกใจไปเลยครับ
เพราะบางที… นั่นอาจเป็นห้องของ “แขก” ที่ไม่เคยต้องการจะเช็คเอาท์ก็เป็นได้