“ศิลปะการปฏิเสธ VIP: เมื่อ ‘ไม่’ คือ ‘ใช่’ ที่แสนชาญฉลาด และวิธีรักษาใจแขกคนสำคัญ”
“ศิลปะการปฏิเสธ VIP: เมื่อ ‘ไม่’ คือ ‘ใช่’ ที่แสนชาญฉลาด และวิธีรักษาใจแขกคนสำคัญ”
ในวงการโรงแรม เราถูกสอนมาเสมอว่า “แขกคือพระเจ้า” และหน้าที่ของเราคือต้อง “ตอบสนองทุกความต้องการ” ของแขก โดยเฉพาะแขกระดับ VVIP ที่มีอำนาจการใช้จ่ายสูงและอาจนำมาซึ่งชื่อเสียงให้กับโรงแรม
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง… บางครั้งคำขอของแขกก็ “เกินกว่าที่เราจะให้ได้” ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ, ความปลอดภัย, หรือทรัพยากรที่มีอยู่
ความท้าทายที่แท้จริงจึงอยู่ที่… เราจะ “ปฏิเสธ” แขก VIP อย่างไร โดยที่ไม่ทำให้เขารู้สึกถูกปฏิเสธ?
ผม, ชาติ เตมียเชิด, เคยต้องเผชิญหน้ากับคำขอที่ยากจะปฏิเสธที่สุดครั้งหนึ่ง…
แขก VVIP ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นนักธุรกิจชื่อดังระดับประเทศ ได้โทรศัพท์ลงมาที่ Front Desk ในช่วงเวลาดึกสงัด น้ำเสียงของท่านเต็มไปด้วยความเร่งรีบและจริงจัง
“ผู้จัดการครับ! ตอนนี้ผมมีประชุมด่วนกับทีมงานที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่มัน ‘ไฟสว่างเกินไป’ ผมต้องการให้คุณไป ‘หรี่ไฟ’ เฉพาะโต๊ะของผมให้มันมืดลงกว่านี้ เพื่อให้การประชุมของเรามีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น!”
พนักงาน Front Desk ที่รับสายถึงกับหน้าซีด… เพราะห้องอาหารของเราเป็นระบบไฟ LED แบบฝังฝ้า ที่ไม่สามารถหรี่ไฟได้เฉพาะจุด! มันคือระบบ On/Off ที่ควบคุมทั้งโซน! การจะหรี่ไฟให้เฉพาะโต๊ะของท่าน หมายถึงการหรี่ไฟให้ทั้งโซน ซึ่งจะกระทบกับแขกคนอื่นๆ ที่กำลังรับประทานอาหารอยู่
คำตอบที่ง่ายที่สุดคือ “ทำไม่ได้ครับ” แต่การตอบแบบนั้นกับแขก VVIP… มันคือการฆ่าตัวตาย!
ผมจึงตัดสินใจลงไปที่ห้องอาหารด้วยตัวเองทันที
เมื่อผมเดินเข้าไปถึง ผมเห็นท่านประธานนั่งอยู่กับทีมงาน 3-4 คน ใบหน้าของท่านบ่งบอกถึงความคาดหวัง และความกดดันจากการประชุม
ผมไม่ได้รีบตอบคำขอของท่านทันที แต่ผมทำในสิ่งที่นักบริหารโรงแรมควรทำ… นั่นคือ “รับฟังและทำความเข้าใจปัญหาที่แท้จริง”
ผมโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านประธานครับ ผมต้องขออภัยที่ระบบไฟของห้องอาหารยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการในเรื่องความเป็นส่วนตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ แต่ผมขออนุญาตสอบถามเพิ่มเติมได้ไหมครับว่า… นอกจากการหรี่ไฟแล้ว มีสิ่งใดอีกบ้างครับที่ผมสามารถช่วยให้การประชุมของท่านเป็นส่วนตัวและราบรื่นมากยิ่งขึ้น?”
ท่านประธานอธิบายว่า “ผมต้องการบรรยากาศที่เงียบสงบ ไม่มีใครเข้าถึงได้ง่าย และที่สำคัญคือ ข้อมูลที่เรากำลังคุยกันมันละเอียดอ่อนมาก ไม่อยากให้ใครเห็นหรือได้ยิน”
ผมฟังอย่างตั้งใจ… และในที่สุด ผมก็มองเห็น “ทางออก”
ผมโค้งคำนับอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ท่านประธานครับ ในเมื่อระบบไฟของเรามีข้อจำกัด ผมขออนุญาตเสนอทางเลือกที่ดีกว่านี้ได้ไหมครับ?”
“ตอนนี้ห้อง Private Dining Room (ห้องอาหารส่วนตัว) ของเราว่างอยู่พอดีครับ ห้องนั้นมีระบบไฟที่สามารถปรับได้ตามต้องการ และสำคัญที่สุดคือ มีความเป็นส่วนตัวสูงสุด ไม่มีใครสามารถรบกวนการประชุมของท่านได้เลยครับ หากท่านประธานอนุญาต ผมจะให้ทีมงานจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มที่เหลือทั้งหมดเข้าไปเสิร์ฟให้ท่านในห้องนั้นทันทีครับ”
ท่านประธานมองผมด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่าน “อืม… ทำไมคุณไม่บอกตั้งแต่แรก!”
เรื่องจบลงด้วยดี ท่านประธานและทีมงานได้ย้ายเข้าไปประชุมในห้อง Private Dining Room และการประชุมดำเนินไปอย่างราบรื่นจนจบ ผมได้รับคำชมเชยเป็นการส่วนตัวจากท่านประธานในภายหลังว่า “คุณนี่มันมืออาชีพจริงๆ รู้จักแก้ปัญหาได้ถูกจุด”
บทเรียนนอกตำราในวันนั้นสอนให้ผมรู้ว่า:
- คำขอไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นอาการ: อย่ารีบตอบปฏิเสธคำขอ แต่จงมองทะลุคำขอนั้น เพื่อหา “ปัญหาที่แท้จริง” ที่แขกต้องการให้เราแก้
- “ไม่” คือ “ใช่” ที่มาในรูปแบบอื่น: เมื่อเราไม่สามารถให้ในสิ่งที่แขก “ขอ” ได้ ให้เราหา “สิ่งอื่นที่ดีกว่า” ที่สามารถแก้ “ปัญหาที่แท้จริง” ของเขาได้
- ทางออกที่ดีที่สุด มักอยู่ใกล้ตัว: บางครั้งคำตอบไม่ได้อยู่ที่การลงทุนมหาศาล แต่อยู่ที่การปรับใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ศิลปะแห่งการปฏิเสธที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่เทคนิคส่วนตัว แต่เป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่เราใช้ฝึกฝนทีมผู้บริหารให้กับโรงแรมทุกแห่งที่ Elixir Hospitality เข้าไปดูแล เพราะเราเชื่อว่าการบริการที่แท้จริง ไม่ใช่การตอบตกลงในทุกเรื่อง แต่คือการหาทางออกที่ดีที่สุดให้แขกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไหวพริบ, การปรับเปลี่ยนทรัพยากร, หรือการนำเสนอทางเลือกที่เหนือกว่า Elixir Hospitality จะช่วยคุณสร้างทีมที่สามารถเปลี่ยนคำว่า “ไม่” ให้กลายเป็น “ใช่” ที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับแขกคนสำคัญของคุณ